การเลือกพื้นที่สำหรับสร้างสวนน้ำมีผลอย่างไรต่อการดำเนินธุรกิจสวนน้ำ? วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องความแตกต่างของพื้นที่ตั้งของสวนน้ำ ว่าจะส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจ และจะออกแบบอย่างไรให้มีหน้าตาและขนาดที่เหมาะสม ไปดูกันครับ

สวัสดีครับ วันนี้เรามาต่อจากครั้งที่แล้วนะครับ ครั้งที่แล้วเราบอกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ของประเภทของสวนน้ำก็คือมี 3 กลุ่ม สวนน้ำ Stand Alone ที่ได้รายได้จากค่าบัตร อันที่ 2 คือสวนน้ำประเภทที่อยู่ในโรงแรม เป็น Resort Waterpark สวนน้ำประเภทที่ 3 ก็คือสวนน้ำที่อยู่บนหลังคาห้าง หรืออยู่กับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ วันนี้เราจะมาโฟกัสกันที่สวนน้ำ Stand Alone นะครับ

VS

สวนน้ำ Stand Alone ที่บอกไว้ครั้งที่แล้ว มีอยู่ 2 ประเภท ก็คือ เมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต พัทยา หัวหิน ประเภทที่ 2 ก็คือ สวนน้ำที่อยู่ตามหัวเมืองสำคัญแต่ไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยว เช่น โคราช แล้วมันต่างกันยังไง? มันต่างกันอย่างนี้ครับ
อย่างแรกคือ สวนน้ำที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต พัทยาจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาทุกวัน ก็นักท่องเที่ยวที่เขามาเที่ยวมาที 4 วัน 5 วัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าวันอะไรก็จะมีนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ ในขณะที่สวนน้ำที่อยู่ในเมืองต่างๆ ที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว จะมีแต่นักท่องเที่ยวที่เป็นชาวไทย จำนวนของนักท่องเที่ยวก็จะมีจำกัด คนไทยต้องทำงาน สามารถมาเที่ยวได้เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งเมื่อคิดแล้วเป็นเวลาเพียง 1 ใน 3 ของปีเท่านั้น ดังนั้นในวันธรรมดานั้นจะเงียบเหงา ส่วนวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์จะมีนักท่องเที่ยวมากันคึกคัก ดังนั้นการลงทุนสำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่มีไว้รองรับนักท่องเที่ยวชาวไทย จะต้องถูกออกแบบมาให้เหมาะกับ Season ของคนไทย


ความแตกต่างอย่างที่ 2 คืออัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยว จะมีมากแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวของเมืองนั้นๆ สวนน้ำของเราก็จะได้รับอานิสงส์ที่มีคนมาเที่ยวในเมืองนี้เพิ่มขึ้นด้วย แล้วสมมุติว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวสัญชาติปีนึง 10 ล้านคน นักท่องเที่ยว 10 ล้านคนของปีที่แล้วกับ 10 ล้านคนของปีนี้ก็จะเป็นคนละคนกัน เขาไม่ได้มาเที่ยวเมืองไทยต่อกันทุกปี เพราะฉะนั้นสวนน้ำของเรา ก็จะเป็นสวนน้ำที่ใหม่อยู่เสมอสำหรับนักท่องเที่ยว ในทางตรงกันข้ามสวนน้ำที่รองรับเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทยในท้องถิ่น จะไม่มีการเติบโตของนักท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อเขาได้มาเที่ยวในสวนน้ำนั้นครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็จะไม่มาเที่ยวที่เดิมซ้ำอีก คงไม่มีใครมาเที่ยวสวนน้ำที่เดิมปีละ 3 ครั้ง 5 ครั้ง ใช่ไหมครับ กว่าเขาจะกลับมาเที่ยวอีกครั้งอย่างน้อยก็เป็นปี 2 ปี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าอัตรา Return Rate ที่รับนักท่องเที่ยวเฉพาะชาวไทยก็จะน้อยกว่าที่รับเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินะครับ
ความแตกต่างอย่างที่ 3 คือ กำลังซื้อ แน่นอนว่าชาวต่างชาติที่เขามาเที่ยวเมืองไทยเขาตั้งใจมาเที่ยวอยู่แล้ว เขาจะมาจากประเทศที่มีกำลังซื้อสูงกว่าเรา เช่น จีน ยุโรป อินเดีย เขามาในบรรยากาศของการท่องเที่ยว นั่งเครื่องบินมาตั้งไกล ต้องไปเที่ยวหลายที่ให้คุ้มที่สุด แล้วราคาค่าบัตรที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถจ่ายให้กับแหล่งท่องเที่ยวได้ก็จะมีมากกว่า

ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการออกแบบแหล่งท่องเที่ยว 2 ประเภทนี้ต่างกัน สวนน้ำในเมืองท่องเที่ยว จะต้องออกแบบเพื่อรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีคุณสมบัติดังที่กล่าวเมื่อกี้ แต่สวนน้ำที่ไม่ได้อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวแล้วรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นหลัก สามารถที่จะออกแบบให้รองรับจำนวนคนที่ไม่ต้องมากเกินไป ที่มาได้เฉพาะช่วงวันหยุด เดี๋ยวเราจะไปลงรายละเอียดกันในอีกบทความนึง ตอนนี้เราจะไปลงรายละเอียดในการออกแบบสวนน้ำที่รับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกันก่อนนะครับ

สิ่งที่ต้องคำนึงในการออกแบบสวนน้ำ
สิ่งแรกคืออัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก่อนโควิดประเทศไทย มีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นสูงสุด 5-10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ช่วงหลังๆ ก็จะเพิ่มประมาณ 5% ต่อปี แล้วเมืองที่ชาวต่างชาติชอบมาเที่ยวมากที่สุดของไทย ก็คือเมืองติดทะเล เพราะทะเลไทยสวย บรรยากาศดี ราคาไม่แพงและเป็นไฮไลท์ เพราะฉะนั้นเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักๆก็คือเมืองที่ติดทะเล ในขณะที่เมืองท่องเที่ยวในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ ความ Popular หรือค่าใช้จ่ายรายหัว จะไม่สูงเท่าเมืองท่องเที่ยวที่ติดทะเล ดังนั้นเรื่องของพื้นที่เองก็มีผลต่อ Spending Per Head ด้วย
อย่างที่ 2 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เติบโตเยอะที่สุดในช่วงปีที่ผ่านๆ มา คือชาวจีน ซึ่งก่อนหน้านี้จะเป็นรัสเซีย แล้วแต่ภาวะเศรษฐกิจโลก ช่วงประมาณ 10 ปี ให้หลังนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนมีการเติบโตขึ้นเยอะมาก ไม่ใช่เฉพาะในไทย เราจะเห็นว่านักท่องเที่ยวที่เยอะที่สุดเป็นชาวจีน พวกทัวร์จีน ทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าการออกแบบแหล่งท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ข้อ 1 มันสามารถออกแบบให้เก็บค่าเข้าหรือค่าที่พักได้ค่อนข้างสูง ข้อ 2 เมื่อนักท่องเที่ยวมาเที่ยวในเขตพื้นที่ของเรา ค่าเดินทางในการมาเที่ยวของชาวต่างชาติก็จะมีความสำคัญน้อยกว่าคนไทย เช่น คนไทยอยู่กรุงเทพฯ มาเที่ยวสวนน้ำในพัทยา ต้องเสียค่ามอเตอร์เวย์ ค่าน้ำมันมาก่อน ในขณะที่ชาวต่างชาติไม่ต้อง เพราะชาวต่างชาติเขามาอยู่ในเมืองพัทยาอยู่แล้ว เพราะงั้นข้อสำคัญคือการเดินทางจากโรงแรมที่พักของเขามากที่สวนน้ำของเรานั้นสะดวกหรือไม่ ข้อ 3 ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งแข่งกัน แล้วเขามีเวลาอยู่ประมาณ 4-5 วัน เขาก็จะต้องพยายามเที่ยวให้ได้เยอะที่สุด ก็ต้องเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่ดูดีที่สุด



โดยสรุปก็คือคนที่ทำสวนน้ำในจังหวัดที่มีขนาดใหญ่ ก็จะต้องออกแบบสวนน้ำให้เดินทางง่ายเมื่อเทียบกับที่อื่นในจังหวัดเดียวกัน จะต้องสร้างสวนน้ำให้ดึงดูดลูกค้าได้เพราะว่าของมาท่องเที่ยวแล้วมีที่ให้เลือกเยอะ สวนน้ำจึงต้องมีหน้าตาระดับ World Class และจะต้องมีเครื่องเล่น สไลเดอร์ที่น่าสนใจ ให้เขาถ่ายรูปได้หรือเป็นประสบการณ์ที่ไม่คุ้นเคยในประเทศเขา จำเป็นจะต้องมีขนาดใหญ่ อลังการ สนุก มีมูลค่าในการก่อสร้างค่อนข้างสูง เช่น อาจจะพันล้านขึ้นไป เพื่อให้ได้อุปกรณ์และบรรยากาศที่ดีพอ ที่จะรองรับนักท่องเที่ยว แต่สิ่งที่จะได้รับกลับมาก็คือเรามีนักท่องเที่ยวทุกวันสัปดาห์ละ 7 วันปีละ 365 วัน มีการเติบโตของนักท่องเที่ยว มีค่าบัตรต่อหัวค่อนข้างสูง เพราะเป็นการจ่ายครั้งเดียวแล้วไม่กลับมาซื้อซ้ำอีก แต่ปีหน้าก็จะมีคนใหม่มาอีก เป็นรูปแบบของสวนน้ำที่เหมาะกับนักลงทุนรายใหญ่ เพราะถ้าเป็นนักลงทุนรายย่อย แล้วทำเล็กๆ หรือทำได้ไม่ดีพอ โอกาสแพ้ในเชิงธุรกิจจะสูงมาก สำหรับรายเล็กหรือธุรกิจที่ไม่ได้ใหญ่โตมาก ไม่ควรออกแบบไว้ในเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ เพราะความสามารถเชิงเปรียบเทียบในการแข่งขันจะสู้ไม่ได้

ดังนั้นเราก็จะเห็น Wave Pool ขนาดใหญ่ที่สุด คลื่นใหญ่ที่สุด คลื่นสวยที่สุด Lazy River ยาวมาก สไลเดอร์ 20 ตัว ยิ่งใหญ่อลังการได้ในสวนน้ำที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวเมืองใหญ่ แต่ทั้งหมดนี้ก็สามารถออกแบบให้ต้นทุนไม่สูงจนเกินไปได้ ในขณะที่ได้คุณภาพ World Class ตรงนี้ถ้าใครสนใจสามารถติดต่อมาทาง K2J ได้เลยนะคร้าบบบ แล้วเดี๋ยวคราวหน้าเราจะมาคุยกันเรื่องสวนน้ำที่เหมาะกับเมืองขนาดเล็ก พี่ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะว่าควรจะมีหน้าตาเป็นยังไง วันนี้แค่นี้ก่อนนะครับ สวัสดีครับ